12 วิธีวางแผนการใช้เงินอย่างฉลาด



              ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด สินค้าอุปโภคบริโภคก็พากันขึ้นราคา ภาวะแบบนี้ไม่ว่ามนุษย์เงินเดือน พ่อค้า-แม่ขาย หรือนักธุรกิจรายใหญ่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบ ทั้งการใช้เงินในชีวิตประจำวัน การลงทุน และการเก็บออม ซึ่งในฐานะบริษัท จีอี มันนี่ ประเทศไทย เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค จึงแนะนำ ?12 วิธีสู่การวางแผนรวยตลอดปี? เพื่อให้คนไทยได้นำไปใช้และปฏิบัติ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่พอเพียง...

1.การวางแผนการเงิน
                 การวางแผนการเงิน ถือเป็นข้อพึงปฏิบัติแรกที่ทุกคนจะต้องทำ ทั้งวางแผนการเงินของตัวเองและครอบครัวให้เหมาะสม ซึ่งเชื่อมโยงถึงรายได้ รายจ่าย การออม การลงทุน ภาษี การจัดการ หนี้สิน และการเตรียมตัวป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจะเกิดขึ้น โดยขั้นตอนการวางแผน ประกอบด้วย 1) การสำรวจตัวเอง เพื่อให้รู้จักอุปนิสัยทางการเงิน รู้เงื่อนไขข้อจำกัดของตนเอง เพื่อจะได้นำมาปรับใช้ในการวางแผนทางการเงิน 2) กำหนดเป้าหมาย หรือสิ่งที่ต้องการ และระยะเวลาโดยแบ่งเป็นเป้าหมายระยะยาว (5, 15, 20 ปี) และเป้าหมายระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) 3) จัดสัดส่งนการใช้งานให้เหมาะสม ควรกันเงินสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นก่อน แล้วนำเงินที่เหลือมาออมหรือลงทุนด้วยวิธีต่าง ๆ โดยคะเนว่า จะได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับเงินที่ต้องการ 4) ลองนำแผนมาปฏิบัติ ถ้าตัวเลขที่วางไว้ยังห่างไกล ให้ปรับแผนเสียใหม่ เช่น ตัดค่าใช้จ่าย รหือ ลดเงินเป้าหมาย

2.จัดงลดุลคุมค่าใช้จ่ายส่วนตัว
                แผนการเงนจะสำเร็จไปไม่ได้ หากขาดการจัดงบประมาณหรืองลดุล ซึ่งเป็นตัวช่วยควบคุมการใช้เงินไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง เริ่มจาก 1) รวมตัวเลขรายได้ ของคุณทั้งหมด เช่น เงินเดือน ค่าจ้างพิเศษ ค่าเช่า ค่าโอที ฯลฯ 2) รวบรวมและจดบันทึกรายจ่าย โดยหมั่นรวบรวมและจดบันทึกรายจ่ายว่าแต่ละเดือนคุณจ่ายเงินไปกับเรื่องใดบ้าง 3) คาดคะเนรายจ่ายในอนาคต โดยปกติจะดูจากรายจ่ายปัจจุบันที่เรารวบรวมมาเป็นพื้นฐาน แล้วบวกอัตราเงินเฟ้อเข้าไป  4) ทำสรุปงบประมาณ แล้วตั้งงลดุลเงินสด โดยทำตารางแบ่งช่องรายรับ-รายจ่าย แล้วแบ่งระยะเวลาเป็นช่วง ๆ เช่น ต่อสัปดาห์ ต่อเดือน ต่อปี รวมยอดของทั้งรายรับและรายจ่าย แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน หากผลรายรับมากกว่า แสดงว่า ควคุมค่าใช้จ่ายสำเร็จ ถ้าติดลบ ให้กลับมาดูที่รายจ่ายว่าจะตัดส่วนใดออกไปได้  5) ติดตามการใช้จ่ายและปรับปรุงงบประมาณ

3.ออมเพลิน เมินจน
                   การเก็บออมควรแยกเงินฝากเป็น 3 บัญชี ได้แก่ บัญชีจ่ายเผื่อฉุกเฉิน บัญชีเงินออก และบัญชีเพื่อการลงทุน ซึ่งเคล็ดลับการออมนั้นมี 2 วิธี ได้แก้ ออมแบบลบสิบ โดยหักเงิน 10% ของรายได้ทุกเดือนมาเป็นเงินออม วิธีเหมาะกับคนที่มีวินัยในการออม ส่วนที่ 2 คือ ออมแบบเพิ่มสิบ สำหรับคนที่ชอบซื้อ เมื่อซื้อของสิ่งใดก็ตามให้เพิ่มเงินอีก 10% ของมูลค่ามาเป็นเงินออม

4.บริหารหนี้ หนีกับดักทางการเงิน
                  การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ ซึ่งหนี้นั้น มีทั้ง "หนี้ดี" และ "หนี้ฟุ่มเฟือย" ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ สำหรับหนี้ดี คือ หนี้ที่นำเป็นซื้อของจำเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ เช่น บ้าน การศึกษาของลูกก ส่วนหนี้ฟุ่มเฟือย คือ หนี้ที่เกิดจากเรื่องที่ไม่จำเป็น สุรุ่ยสุร่าย เช่น กู้เงินไว้ซื้อฮาร์เลย์ไว้อวดสาว ทั้งนี้วิธีการที่ดีที่สุดในการลดหนี้ คือ พยายามใส่เงินจำนวนมากที่สุดโดยไม่กระทบกับรายจ่ายประจำที่จำเป็นเพื่อชำระหนี้สินที่ถูกคิดดอกเบี้ยแพงที่สุด เช่น บัตรเครดิต และหนี้นอกระบบ

5. วางแผนประหยัดภาษี
               วิธีง่าย ๆ คือ สรรหาค่าลดหย่อน ประกอบด้วย ดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน เงินบริจาค ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เบี้ยประกันชีวิต และเงินลงทุนในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ  หรือเพื่อสนับสนุนการออม และหากคุณรับงานนอก ควรวานแผนให้ดีว่า จะรับเงินเพื่อคำนวณเป็นเงินเดือน (ภงด.91) หรือรับเป็นงานเหมา ซึ่งต้องไปเสียภาษีเป็นเงินได้จากการประกอบธุรกิจทั่วไป (ภงด390) ลองคำนวณดูว่า วิธีการเสียภาษีแบบใดจะประหยัดเงินคุณมากกว่า

6.ก่อนจูงมือไปแต่งงาน
               คู่สมรสควรวางแผนอนาคตทางการเงินระยะยาวถึง 10 ปี และให้จัดแยกเงินออกเป็นหลาย ๆ บัญชี ตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินแต่ละประเภท จากผลการสำรวจพบว่า งานแต่งงานต้องใช้เงินถึงหลักแสนทีเดียว ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ คือ ค่าจัดเลี้ยงในโรงแรม ค่าของชำร่วย ค่าการ์ดเชิญ และค่าถ่ายภาพคู่ในสตูดิโอ ทั้งนี้มีเคล็ดลับในการประหยัดค่าใช้จ่ายแต่งงาน ดังนั้น 1) แต่งงานตอนกลางวัน โรงแรมส่วนใหญ่จะคิดราคาในการจัดเลี้ยงได้ถูกลง 2) แบ่งปันข้าวของกับคู่บ่าวสาวรายอื่น 3) ลดขนาดเค้กแต่งงานเหลือแค่ 2 ชั้นพอ 4) พยายามตกแต่งบรรยากาศในงานด้วยใบไม้และใช้ดอกไม้ให้น้อยลง 5) เลือกชุดแต่งงานเรียบง่าย หรือเช่าชุดแต่งงานเพื่อประหยัดงบ และ 6) คำนวณจำนวนแขกให้พอเหมาะพอดี

7.แผนการเงินเพื่อซื้อรถยนต์
               ค่าใช้จ่ายในการซื้อรถ ไม่ควรเกินอัตรา 15% ของรายได้ครอบครัว เพื่อไม่ให้เกิดภาระผ่อนส่งเกินตัว เมื่อคิดซื้อรถให้เลือกรถที่พอคุ้มค่ากับการใช้งาน ถ้าคุณวางแผนที่จะกู้เงินซื้อรถ ควรเลือกธนาคารหรือไฟแนนซ์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือเงื่อนไขที่ดีกว่า สูตรการคิดอัตราดอกเบี้ย ระหว่างธนาคารและบริษัทไฟแนนซ์จะแตกต่างกัน โดยธนาคารจะคิดแบบ "ลดต้นลดดอก" ในขณะที่ไฟแนนซ์จะคิดแบบ "ดอกเบี้ยรวมเงินต้น" ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ทางที่ดีควรคุยกับทั้ง 2 ฝ่าย แล้วเปรียบเทียบว่าตัวเองเหมาะกับสิ่งใด

8.แผนการเงินเพื่อซื้อบ้าน
               ควรประเมินกำลังซื้อก่อนจะซื้อบ้าน ราคาบ้านที่จะซื้อไม่ควรเกิน 30 เท่าของรายได้ต่อเดือนของครอบครัวและค่าใช้จ่ายในการผ่อนบ้านรายเดือนก็ไม่ควรเกิน 25-30% ของายได้ต่อเดือน หลักสำคัญในการขอสินเชื่อบ้าน คือ "เลือกโครงการที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุ กู้เงินให้น้อยที่สุด และผ่อนชำระให้เร็วที่สุด" โดยต้องมั่นใจว่ามีเงินสดมากพอที่จะวางดาวน์ เพราะโดยทั่วไป โครงการบ้านจัดสรรมักจะให้ผู้ซื้อจ่ายเงินดาวน์ซื้อบ้านประมาณ20% และสามารถกู้ได้แค่ 80% ของราคาบ้าน

9.แผนการเงินเผื่อเจ้าตัวน้อย
               จากการสำรวจค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการคลอดบุตรขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 38,500 บาท และค่าเลี้ยงดูบุตรต่อเดือนอีกประมาณ 3 พันบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวนี้สามารถจัดการได้ 2 ทางคือ 1) พอเริ่มตั้งครรภ์ก็เริ่มเก็บเงิน และบริหารเงินให้ดี โดยลองคิดดูว่าคุณต้องมีค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรเท่าใด แล้วคำนวณว่าคุณต้องเก็บเงินต่อเดือนเท่าใด จึงจะได้ตามยอดเงินที่ตั้งไว้ 2) เป็นการใช้เงินอนาคตสำหรับการคลอดลูก เช่น รูดบัตรเครดิต หรือกู้เงินสด แล้วค่อย ๆ ทยอยจ่ายหลังจากคลอดแล้ว แต่วิธีนี้คุณจะต้องชำระเงินมากขึ้นเนื่องจากดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตหรือเงินกู้นั่นเอง

10.แผนการเงินเพื่อการศึกษาลูก
             ในการคำนวณหาค่าเล่าเรียนต้องคิดจากค่าเงินในปัจจุบันและอนาคตโดยให้รวมค่าอัตราการเพิ่มของค่าเทอมหรือเงินเฟ้อเฉลี่ยต่อปี (ประมาณ 5%) เข้าไปด้วย จากนั้นให้วางแผนว่าจะทำอย่างไรให้ได้เงินตามเป้าหมายดังกล่าว วิธีการคือ ถามตัวเองก่อนว่าต้องการเก็บเงินเป็นรายเดือนหรือรายปี แล้วจึงนำไปลงทุนต่อเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น หรือเพื่อให้ได้มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ต่อมาจึงหาตัวเลขเงินทุนในแต่ละปีว่าเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อให้ได้จำนวนเงินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

11.แผนการเงินยามเกษียณ
            ก่อนอื่น คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าจะเกษียณตอนอายุเท่าไหร่ และถึงเวลานั้นอยากมีเงินเดือนใช้เดือนละเท่าไร สำหรับคนทำงานกินเงินเดือน แนะนำให้คุณประมาณการเงินเดือนสุดท้าย ณ วันที่จะเกษียณอายุแล้วหารด้วย 2 ตัวเลขนั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่คุณต้องใช้หลังเกษียณ ในการดูว่าเงินออมก้อนที่มีในปัจจุบันพอเพียงสำหรับการดำรงชีพในอนาคตหรือไม่ หากคุณมีเงินออมน้อยกว่าที่คำนวณได้ คุณควรต้องเก็บเงินในสัดส่วนที่มากขึ้นจึงจะพอใช้จ่ายในอนาคต

12.การลงทุนและการจัดสำหรับลงทุน
            ก่อนที่คุณจะลงทุน คุณควรคำนวณเสียก่อนว่า คุณได้แบ่งเงินไว้สำหรับใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน และกันไว้สำหรับสร้างหลักประกันเรียบร้อยแล้ว เงินที่เหลือจะเป็นเงินที่คุณนำมาลงทุนได้ ซึ่งประเภทของการลงทุน มีตั้งแต่ หุ้น กองทุนรวม และเงินฝาก เหล่านี้ผู้ลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีบริหารเงินที่จะทำให้ทุกคนมีกินมีใช้แบบไม่จนตลอดปีและตลอดไป

ที่มา : http://www.siaminfobiz.com/mambo/content/view/2217/48/

แก้ไวรัส ScreenSaver (.scr)



       ไวรัสตัวนี้ไม่มีพิษอะไรมากมาย กรณีที่ผมเจอเอาเพลงลงแฟรชไดว์ แต่เปิดเพลงในรถไม่ได้ พอเอามาเปิดในคอมอีกที ไฟล์ที่เป็น Folder เปลี่ยนไปเป็น .scr หมดเลย
          วิธีแก้ไข
     1.Download Combofix จาก Link
     2.ติดตั้งให้เรียบร้อย เครื่องจะรีสตาร์ทโดยอัตโนมัติ และโชว์ Log ขึ้นมา แสดงว่าสำเร็จแล้ว
     3.ค้นหาไฟล์ .scr ที่เครื่อง แล้วลบทิ้งให้หมด อย่าให้เหลือซาก
     4.รีสตาร์ท 1 ครั้ง แล้วจะใช้งานได้ตามปรกติ 

          ลองใช้วิธีนี้ดูนะครับ ถ้าได้หรือไม่ได้ยังไง ก็สามารถถามได้ครับ ส่วนตัวผมแล้ว ทำได้สำเร็จ

Credit รูป : http://amyou2008.blogspot.com/2012/03/virus-screensaver.html
    

ขายของถูกกว่าคนอื่น ทำไมขายไม่ได้ ?


       ใครๆก็ชอบของถูกครับ เราเป็นผู้ซื้อ เราก็อยากได้ของหรือสินค้าที่ได้ในราคาที่ถูก ดังนั้น เมื่อผมเป็นผู้ขายและเห็นผู้ขายคนอื่นๆขายในราคาที่แพง ผมจึงเริ่มนำสินค้าที่เหมือนกับร้านอื่นๆมาขาย ในราคาที่ต่ำกว่า 30 - 50% ก็ยังได้กำไรอยู่ แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นครับ ลูกค้าไม่มีใครซื้อของร้านผมเลย มีบ้างเป็นบางครั้ง ทำให้ผมเกิดคำถามว่า ทำไม ของถูกกว่า สินค้าเหมือนกัน แต่ลูกค้าไม่ซื้อร้านเรา กลับไปซื้ออีกร้านที่ขายแพงกว่า ผมจึงกลับมานั่งทบทวนและได้ทำการสรุปปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดผลลัพท์แบบนี้
        1.การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา
              ของเราถูกจริง แต่ไม่มีใครรู้ว่าของเราถูก แล้วเราจะไปขายให้กับใคร
        2.ลูกค้าคิดว่าของเราไม่มีคุณภาพ
              แน่นอน คนกลุ่มนี้ยังมีอยู่ถมเถไป ค่านิยมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม การลดราคาสินค้าลงอาจไม่ไช่ทางที่ถูกต้อง กำไรก็น้อย ไม่นานก็ต้องเจ้งกันไป
        3.ทำเลที่ตั้ง
              คล้ายกับการประชาสัมพันธ์แหละ ต้องอยู่ในที่ๆคนพบสินค้าเราเยอะๆและที่สำคัญคนพวกนั้นต้องเป็นกลุ่มคนเป็นกลุ่มลูกค้าของเราด้วย
        4.ความต้องการของลูกค้า
              ขายของเหมือนกัน ราคาเราถูกกว่า แต่ของเหล่านั้นลูกค้าไม่ต้องการ อาจเพราะของนั้นมีเยอะเกินไปในตลาด 
        5.ซวย
              โชคชะตา อันนี้ก็แล้วแต่บุคคลครับ เรื่องแบบนี้ไม่เจอเองก็คงไม่รู้

        วิธีแก้ปัญหา
        คุณต้องศึกษาทฤษฎีให้มากขึ้น เช่น swot การตลาด การขาย แล้วเราก็เอาแนวคิดเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณเอง ซึ่งตัวผมเองก็บอกให้ไม่ได้ว่าต้องทำยังงัย คุณที่เป็นผู้ขายจะรู้ดีมากที่สุด       

เงินเดือน 15,000 บาท ใช้อย่างไรให้พอ

การเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของบริษัท



จากประสบการณ์ของตัวผมเอง ที่ผ่านมาผมสัมภาษณ์งานกับหลายๆบริษัท กว่า 80% จะโทรมาหาผมในวันถัดมาเพื่อให้เข้าไปเซ็นต์สัญญาเพื่อเข้าทำงานกับบริษัทนั้นๆ และผมก็ได้ค้นพบสาเหตุหรือวิธีการบางอย่างที่ทำให้บริษัทสนใจและรับเราเข้าทำงาน ผมจะชี้แจงเป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจง่าย

1.การสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคล (HR)
ฝ่ายบุคคล มีหน้าที่สรรหาและจัดจ้างบุคลากรที่มีประสิทธิภาพมากเข้ามาทำงาน โดยวิธีประกาศโฆษณาตำแหน่งว่างรับสมัคร และทำการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติดีที่สุด เพื่อการจ้างงานโดยตรงหรือจัดส่งให้ เจ้าหน้าที่ ผู้อื่นต่อไป แน่นอนครับ การสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคล แนวทางการตอบคำถามต่างๆ ผมจะตอบให้เหมือนกับว่า "ผมจะทำหน้าที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด รักษาผลประโยชน์ให้กับบริษัท" เพราะ ฝ่ายบุคคลจะสรรหาบุคคลที่มีความสามารถเหมาะสมและตรงกับสายงานมากที่สุด

2.การสัมภาษณ์กับเจ้าของบริษัทหรือผู้บริหาร
แนวทางในการตอบคำถามคือ เราต้องแสดงศักยภาพของเราให้มากที่สุด และศักยภาพเหล่านั้นจะทำให้เราเป็นจุดเด่นเป็นที่สนใจของบริษัท และจะมีผลกับการต่อรองเงินเดือน ความต้องการของเจ้าของบริษัทต้องการคนที่มีความสามารถหลายๆด้านไม่ไช่เฉพาะหน้าที่ที่เรารับผิดชอบ แต่สำคัญคือเราต้องพูดเรื่องจริง และเราทำได้จริงๆ ไม่ไช่การโม้ มีความมั่นใจในตัวเอง อย่าประหม่า

ผู้สัมภาษณ์ต่างกัน ความต้องการก็ต่างกัน การที่เราจะชนะคู่แข่งและเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดขอบริษัทขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ความสามารถเราเอง
" ขอให้พวกคุณโชคดี "

คำถามสุดฮิตในการสัมภาษณ์งาน

     
      การเตรียมตัวที่ดี จะทำให้เราสามารถตอบคำถามต่างๆ ที่ทางผู้สัมภาษณ์กระหน่ำพูดมาราวกับพายุฝน ถ้าตัวเรามีรากฐานดีก็จะสามารถผ่านพายุลูกนี้ไปได้ มาลองดูคำถามที่ผมเจอบ่อย ซึ่งใน Google ก็จะมีอยู่แล้วลองหาดู แต่ที่ผมพูดมาจากประสบการณ์
ตรงและวิธีตอบตามแบบฉบับของผม
     1)ทำไมคุณถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า
           แน่นอนครับ คำตอบที่อยู่ในใจแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้วปัญหาด้านเงินบ้าง คนบ้าง แต่เราควรจะตอบในเชิงบวกเรื่องที่ผ่านมาช่างมัน และผมก็ตอบความจริงนะไม่ได้โกหก เช่น "ต้องการหาประสบการณ์และความท้าทายใหม่ๆ" ดูดีมากเลยทีเดียว
     2)คุณมีความสามารถพิเศษอะไร
           ที่เค้าถามแบบนี้ ไม่ไช่ว่าอยากรู้ว่าเรา หกสูงได้ หรือกระโดดลอดห่วงเป็น ต้องดูตำแหน่งที่เราไปสมัครงาน แล้วตอบให้เกี่ยวข้องกับงานที่สมัคร เช่น สมัครตำแหน่ง ช่างยนต์ คำตอบควรที่เกี่ยวกับช่างยนต์ เช่น ผมติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์ได้ครับ หรือ สมัครตำแหน่ง it support คำตอบที่ควรตอบ เช่น "ผมสามารถสร้างเว็บไซต์ได้" เพราะความสามารถพิเศษเหล่านี้ จะช่วยเรื่องเงินเดือน
    3)คิดว่าจะทำงานได้นานแค่ไหน
          จะตอบเป็นจำนวนปีก็ไม่ไช่เรื่อง ตอบกลางๆไปครับ "ขึ้นอยู่กับหลายๆเหตุผลครับ ถ้าบริษัทเห็นความสำคัญและผมสามารถทำให้บริษัทเจริญเติบโตได้ ผมคงไม่อยากไปไหนครับ" ผมก็ไม่แน่ใจว่าดีไหม แต่บริษัทนี้ก็รับผมเข้าทำงาน
 4)คุณอยากได้เงินเดือนเท่าไหร่
          คำตอบนี้แบบละเอียดที่นี่Click
 5)คุณมีคำถามอื่นๆอีกไหม
          ในหลายๆเว็บให้ถาม เวลาทำงานที่แน่นอน การขาด การลา หน้าที่อื่นๆ หรือเรื่องที่เราสงสัยต่างๆ แต่ผมแถมให้นิดนึง ทุกคนชอบคำ"ชมเชย" หรือเรียกว่าการ"หยอด" นั่นเอง แต่ไม่ดูโอเวอร์เกินไป ต้องพูดออกมาด้วยความจริงใจ ตามสภาพแวดล้อมที่เราสามารถสัมผัสได้ เช่น "พนักงานที่นี่น่ารักนะครับ อัธยาศัยดีทุกคนเลย ถ้าผมได้ทำงานที่นี่คงจะดีไม่น้อย"

          เป็นไงบ้างคำตอบตามสไตล์ของผมเอง แต่เชื่อเถอะ ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณจะได้งานหรือไม่ได้งานก็ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัยทั้งตัวบริษัทเองและตัวคุณเอง ขอให้อย่าเพิ่งท้อแท้ครับ งานมีเยอะแยะ เตรียมตัวให้พร้อม พกพาความตั้งใจ แล้วไปสู่ฝันที่ต้องการ

เคล็ดลับการต่อรองเงินเดือน

       

        เมื่อเราเข้าสัมภาษณ์งาน เราจะได้รับคำถามจากผู้สัมภาษณ์ ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า "คุณอยากได้เงินเดือนเท่าไหร่" มีแนวทางคำตอบมากมาย
- ตามโครงสร้างบริษัท (ตอบให้ดูดี เดี๋ยวเค้าไม่รับ)
- แล้วแต่ทางบริษัทจะพิจารณา (ใจกูอยากได้เดือนละล้านเลย)
- ตอบตรงๆ อยากได้เท่านั้น เท่านี้ เป็นตัวเลขไป (กล้าได้กล้าเสีย)
- ฯลฯ อีกมากมาย
       ผมจะแนะนำเคล็ดลับที่ บางคนอื่นจะรู้แล้วแต่ลืม ตื่นเต้นไปหน่อย หรือไม่ได้ใส่ใจมากนัก

เคล็ดลับการต่อรองเงินเดือน
1)รู้
         " รู้เขา รู้เรา รบ 10 ครั้ง ชนะ 10 ครั้ง " ความหมาย เราควรจะศึกษาบริษัทนั้นๆไว้คร่าวๆก่อนที่เราจะเข้าสัมภาษณ์ เราสังเกตุได้ว่า บริษัท ขาดเหลืออะไร เสนอะแนะแนวทางว่า เราสามารถช่วยให้บริษัทในเรื่องนั้นเรื่องนี้  เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะเป็นคนสำคัญของบริษัททันที การต่อรองเงินเดือนก็จะง่ายขึ้น
2)รอ
          ในระหว่างการสัมภาษณ์ ควรที่จะรอให้ผู้สัมภาษณ์ถามเราเรื่องเงินเดือนก่อน เพื่อเป็นการแสดงออกว่า เรามาทำงานเพื่อบริษัท ไม่ไช่มาทำงานเพราะเงิน รวมไปถึงถ้าเงินเดือนเราไม่ตรงตามเป้าที่เราคิดไว้ เราก็สามารถที่จะบอกเค้าได้ว่า ถ้าผมผ่านโปร ผมขอคุยเรื่องเงินเดือนอีกรอบ เพื่อให้เราได้รับโอกาสแสดงศักยภาพให้ทางบริษัทพิจารณา
3)เรา
          การแต่งกาย เสื้อผ้า หน้าผม ควรที่จะให้ดูดี ใส่นาฬิกามีราคาหน่อย แต่งตัวดูดี นี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้สัมภาษณ์สามารถประเมิน ฐานะของเราคร่าวๆได้ หรือ งานที่ต้องเสี่ยงอันตราย ต้องใช้รถเรา เราสามารถพูดได้เลยว่า เราต้องใช้อะไรไปบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ของบริษัท ถ้าใช้รถยนต์เรา แน่นอน ต้องมีค่าสึกหรอ ค่าเสี่ยงภัย สวัสดิการ อื่นๆ ตามที่เห็นสมควร
4)รับ
          เมื่อคุยกันเรื่องเงินเดือนแล้วเรารู้สึกว่ามันน้อยเกินไปสำหรับเรา เราควรที่จะรับเป็นอย่างอื่นแทน เช่น สวัสดิการ วันหยุด เวลาเข้างาน เมื่อทุกอย่างลงตัวก็ Win Win ทั้งคู่ ไม่มีใครได้เปรียบ เสียเปรียบ

       ลองเอาไปใช้ดูนะครับ ตัวผมเองก็ทำมาแล้ว แล้วก็ทำสำเร็จแล้วด้วย การคุยเรื่องเงินเดือนก่อนเข้าไปทำงานไม่เป็นเรื่องที่น่าเกียจ เพราะถ้าเราได้เงินเดือนที่ไม่เหมาะสมกับเรา ฝืนทำๆไป เราจะทำงานได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนที่ทำงานอีก ฉนั้น คุยกันแบบเปิดอก คุยตรงๆ ผมเชื่อว่าหลายบริษัทจะให้เงินเดือนคุณมากกว่าที่ลงประกาศในใบรับสมัครแน่นอน